วันอังคารที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

เหตุการณเชลซี




     สกอร์สุดท้ายและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใน สแตมฟอร์ด บริดจ์ เมื่อบ่ายวันเสาร์มันเหมือนภาพอดีตที่คุ้นตาสมัย โชเซ่ มูรินโญ่ คุมทีม เชลซี ภาคแรกเมื่อปี 2004
 


        ฤดูกาลนั้นเป็นปีแรกของ มูรินโญ่ เขาสามารถพา เชลซี ความแชมป์ลีกสูงสุดครั้งแรกในรอบ 50 ปีซึ่งมีถึง 11 เกมที่ผลสกอร์ชนะคู่ต่อสู้ 1-0 


        แท็กติกของ มูรินโญ่ แข็งแกร่งเขี้ยวลากดินรับแน่นรุกหนักเมื่อได้ประตูถอยลงมาปิดเกมทีมใดก็ตามที่โดน เชลซี ยิงนำแทบไม่มีโอกาสที่จะเปลี่ยนสกอร์สุดท้าย 


        ภาคสองของ มูรินโญ่ ใน พรีเมียร์ลีก ผลงานของ เชลซี ยังไม่หินโคตรเหี้ยมขนาดนั้นชัยชนะเหนือ เอฟเวอร์ตัน ล่าสุดนี่คือสกอร์ 1-0 ครั้งที่ 3 เท่านั้นในซีซั่นนี้ 


        อย่างไรก็ตามมันเหมือนสัญญานเตือนภัยสำหรับทีมลุ้นแชมป์ด้วยกันว่าภาพเก่าๆกำลังจะหวนคืนกลับมาดูได้จากเกมที่บุกไปชนะ แมนฯซิตี้ และ เชือด เอฟเวอร์ตัน ด้วยลูกโทนลูกเดียว 


        มูรินโญ่ พูดก่อนเกมที่จะบุกไปเยือน อาร์เซน่อล เมื่อเดือน ธันวาคม ว่า "ถ้าผมต้องการชนะ 1-0 ผมคิดว่าผมทำได้"..."สิ่งหนึ่งที่ง่ายที่สุดในเกมฟุตบอลก็คือการชนะด้วยสกอร์ 1-0" 


        แม้ว่าเกมที่ เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม จะจบลงด้วยสกอร์ 0-0 ไม่ใช่ผลการแข่งขันที่ต้องการของ มูรินโญ่ แต่ก็ถือว่าเป็นสกอร์ที่ดีสำหรับ เชลซี 


        มูรินโญ่ เป็นกุนซือที่ไม่แคร์ว่าจะชนะด้วยรูปเกมที่ขี้เหร่เพราะชัยชนะคือเป้าหมายที่สำคัญที่สุดมันเป็นสัจธรรมของกีฬาที่ไม่มีผู้ใดจดจำผู้แพ้... 


        เชลซี ปรับเปลี่ยนผู้เล่น 3 คนจากเกม เอฟเอ คัพ ที่ออกไปแพ้ แมนฯซิตี้ 0-2 เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว รามิเรซ, จอห์น โอบี มิเกล และ ดาวิด ลุยซ์ ถูกแทนที่ด้วย แฟร้งค์ แลมพาร์ด, ออสการ์ และ จอห์น เทอร์รี่ 


        11 ตัวแรกในระบบ 4-2-3-1 ก็มี ปีเตอร์ เช็ก เป็นด่านสุดท้าย เทอร์รี่ กลับมายืนคู่กับ แกรี่ เคฮิลล์ โดยมี เซซาร์ อัสปิริกวยต้า กับ บรานิสลาฟ อิวาโนวิช เป็นแบ็กซ้ายและขวาคู่นี้ยึดตำแหน่งแบบถาวร 


        แผงกองกลาง แลมพาร์ด คุมเกมกับ เนมานย่า มาติช โดยมี เอแดน อาซาร์ กับ วิลเลี่ยน ทำเกมริมเส้นและ ออสการ์ ยืนหน้าต่ำอยู่หลัง ซามูเอล เอโต้ เป็นหัวหอกเดี่ยว 


        ส่วน โรแบร์โต้ มาร์ติเนซ ก็ปรับทีม 3 ตำแหน่งจากเกม เอฟเอ คัพ ที่ชนะ สวอนซี 3-1 โจล ร็อบเบลส, รอสส์ บาร์คลีย์ และ ลาซิน่า ตราโอเร่ ถูกถอดออกไปแทนที่ด้วย ทิม ฮาวเวิร์ด, ลีออน ออสแมน และ สตีเว่น เนย์สมิธ 


        11 ตัวแรกในระบบ 4-2-3-1 ฮาวเวิร์ด กลับมายืนเฝ้าเสาส่วนแผงหลัง ซิลแว็ง ดิสแต็ง ยืนเซ็นเตอร์ฮาล์ฟกับ ฟิล จากีลก้า โดยมี เลย์ตัน เบนส์ กับ ซีมัส โคลแมน เป็นแบ้กซ้ายและขวา 


        แผงกองกลาง แกเร็ธ แบร์รี่ คุมเกมกับ เจมส์ แม็คคาร์ธี่ โดยมี สตีเว่น พีนาร์ กับ เควิน มิรัลลาส ทำเกมริมเส้นโดยมี ลีออน ออสแมน เป้นหน้าต่ำและ เนย์สมิธ เป็นหัวหอก 


        เกมครึ่งแรก เอฟเวอร์ตัน ทำได้เยี่ยมมากแท็กติกของ มาร์ติเนซ เข้าล็อกและลูกทีมเล่นได้แน่นและแน่นอนโดยเฉพาะการครองบอลฆ่าเวลามีไม่กี่ทีมที่มาเยือน สแตมฟอร์ด บริดจ์ แล้วมีเปอร์เซ็นต์การครองบอลที่เหนือกว่า เชลซี 


        ฟิล จากีลก้า กับ ซิลแว็ง ดิสแต็ง โดดเด่นอย่างมากโดยเฉพาะคนแรกทั้งการคุมคน,ปิดพื้นที่,จังหวะการเขาสกัด,การบล็อกลูกยิงแม่นยำตลอดทั้งเกมแทบไม่มีความผิดพลาดให้เห็น 


        จากีลก้า เล่นได้มาตรฐานมาตลอดซีซั่นชั่วโมงนี้ไม่มีเซ็นเตอร์ฮาล์ฟทีมชาติอังกฤษคนไหนฟอร์มเยี่ยมไปกว่าเขาอีกแล้วฟุตบอลโลกที่ บราซิล ยังไงก็ต้องเลือกแข้ง ทอฟฟี่ รายนี้ยืนตัวจริง 


        ดิสแต็ง ในวัย 36 ปีอาจจะดูเชื่องช้าเทอะทะแต่การยืนตำแหน่ง,การเข้าสกัดและการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าทำได้ดีกว่าเมื่อเทียบกับรุ่นน้องอย่าง เนมานย่า วิดิช, ริโอ เฟอร์ดินานด์ หรือ คริส สมอลลิ่ง ของ แมนฯยูไนเต็ด 


        แกร์เร็ธ แบร์รี่ กับ เจมส์ แม็คคาร์ธี่ ก็เป็นอีกสองคนที่เล่นได้มาตรฐานดีมาตลอดนี่คือกุญแจดอกสำคัญอีกอย่างกับผลงานอันยอดเยี่ยม เอฟเวอร์ตัน ซึ่งคอยปกป้องเป็นด่านแรกที่สกัดกั้นแนวรุกคู่แข่งก่อนอันตรายจะไปถึงแนวรับ 


        แท็กติกเกมรับของ มาร์ติเนซ สอบผ่านอยู่ในเกรดระดับบีบวกเมื่อเทียบกับศักยภาพของนักเตะที่มีอยู่แต่ปัญหาที่ฉุดไม่ให้ เอฟเวอร์ตัน พุ่งทะยานไปข้างหน้าก็คือเกมรุก 


        รับแน่นปิดพื้นที่ได้หมดแต่จังหวะสวนกลับเพื่อเอาประตู เอฟเวอร์ตัน ขาดความเฉียบคมเด็ดขาดกองกลางและกองหน้าทำประตูได้น้อยเปลี่ยนโอกาสให้เป็นประตูลำบาก 


        ถ้าไม่นับ โลเมลู ลูกากู (9ประตู) และ มิรัลลาส (5 ประตู) มีเพียงแค่ แบร์รี่ กับ บาร์คลีย์ เท่านั้นที่ยิงได้ในระดับ 3 ประตูนอกนั้นยิบย่อยและไม่น่าเชื่อว่าฟูลแบ็กสองข้างยังทำได้ดีกว่าเสียอีก 


        จุดเด่นในเกมรุกของ เอฟเวอร์ตัน ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าอยู่ที่ฟูลแบ็กสองข้างนอกจากการเติมเกมและเปิดบอลที่ดีเยี่ยมแล้วยังสอดขึ้นไปทำประตูได้อีกด้วย เบนส์ 3 ประตูและ โคลแมน 5 ประตูเห็นได้ชัดถึงประสิทธิภาพ 


        ในช่วงที่ เบนส์ บาดเจ็บก็ยังมี ไบรอัน โอเวียโด้ ลงมาทำผลงานได้ดีไม่แพ้กันอีกด้วยซึ่งดาวเตะคอสตาริกาทำไป 2 ประตูก่อนจะเดี้ยงพักยาวไป 


        กองกลางของ เอฟเวอร์ตัน ถ้าไม่นับ แบร์รี่ กับ แม็คคาร์ธี่ ที่ถนัดเกมรับส่วนใหญ่การทำประตูของแต่ละคนไม่ใช่จุดเด่นอย่าง พีนาร์ กับ ออสแมน หนักกับการเปิดทางมากกว่า 


        ส่วน มิรัลลาส มีความเร็วจัดแต่การตัดสินใจไม่ดีกับการเลือกที่จะจ่าย,ลุยไปเองหรือจบสกอร์จังหวะจะโคนไม่ค่อยมีนี่ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่เราเห็นบ่อยว่าดาวเตะเบลเยี่ยมทำเสียของง่ายๆ 


        บาร์คลีย์ ทะลุทะลวงได้มันดุดันกล้าเล่นกล้ายิงแต่ยังขาดความเก๋าที่สำคัญตั้งแต่หายเจ็บกลับมายังทำฟอร์มเก่งกลับมาไม่ได้อีกด้วย 


        ลูกากู จึงเป็นความหวังหนึ่งเดียวในการทำประตูซึ่งมันน้อยเกินไปตัวแทนอย่าง เนย์สมิธ ก็ไม่ใช่หัวหอกอาชีพเกมกับ เชลซี ทำได้ดีในระดับหนึ่งแต่หนักไปทางต่อเกมมากกว่าที่จะพุ่งเข้าไปทำประตู 


        ซีซั่นนี้ไม่ว่า เอฟเวอร์ตัน จะจบอันดับที่เท่าไหร่ก็ตามแต่ดีใจกับแฟน ทอฟฟี่ ที่ได้ผู้จัดการทีมที่มีฝีมือและอนาคตไกลมีสไตล์เป็นของตัวเองกล้าที่จะตัดสินใจซึ่งฤดูกาลหน้าถ้าได้ตัวเสริมที่ดีน่าจะทำได้ดีกว่านี้ 


        กลับมาที่ เชลซี หลังจบ 45 นาทีแรก มูรินโญ่ ต้องเครียดเพราะคู่แข่งแก้ลำมาได้เยี่ยมเขาเปลี่ยนตัวแรกถอด ออสการ์ ที่เล่นไม่ได้มาตรฐานออกแล้วส่ง รามิเรซ ลงไปปรับแท็กติกมาเป็น 4-3-3 


        แนวรุกยังเป็น อาซาร์ กับ วิลเลี่ยน ด้านข้างและ เอโต้ หัวหอก ส่วนแผงมิดฟิลด์ รามิเรซ ลงมายืนกลางด้านขวา แลมพาร์ด ด้านซ้ายโดยมี มาติช เป็นหลักส่วนซึ่งแข้งแซมบ้าก็ทำผลงานได้ดีโดยเฉพาะการตัดบอลเปลี่ยนจากรับเป็นรุก 


        ทว่าเกมรุกของ เชลซี ไม่กระเตื้องขึ้นยังไม่สามารถฝ่าแนวรับ เอฟเวอร์ตัน สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไปจากเดิมในเกมนี้ก็คือ อาซาร์, วิลเลี่ยน และ เอโต้ ครองบอลกันมากเกินไปทำให้เกมสะดุดโดยเฉพาะรายหลัง 


        เอโต้ พยายามที่จะใช้ทักษะความคล่องตัวลากหรือพลิกบอลเข้าไปยิงเองแต่เขาไม่ปราดเปรียวเหมือนเมื่อก่อนยิ่งเมื่อเจอกับแนวรับที่แข็งแกร่งของคู่ต่อสู้ยิ่งเห็นได้ชัดว่าผ่านลำบาก 


        มูรินโญ่ เปลี่ยนตัวที่สองเพียงแค่นาทีที่ 62  เฟร์นานโด ตอร์เรส ลงไปแทน วิลเลี่ยน ขยับ เอโต้ ไปยืนด้านข้างแทนและอีก 7 นาทีต่อมาก็เสี่ยงทิ้งไพ่ใบสุดท้ายส่ง อังเดร เชอร์เล่ ลงไปแทน เอโต้ 


        แต่เกมก็ไม่ดีขึ้นซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจเพราะขนาด ออสการ์, วิลเลี่ยน และ เอโต้ ที่มีความคล่องตัวมากกว่า รามิเรซ, เชอร์เล่ และ ตอร์เรส ยังฝ่าปราการเหล็กของ เอฟเวอร์ตัน ไม่ได้เลย- 


        ทีมที่จะประสบความสำเร็จนอกจากฝีมือแล้วมันต้องมีเทพีแห่งโชคด้วยเหมือนกับหัวเรื่องที่ชื่อว่า Mourinho's mantra หมายถึง เวทย์มนต์ของ มูรินโญ่ ซึ่งเกิดขึ้นกับกุนซือโปรตุกีสบ่อยครั้งดูได้จากประตูชัยในนาทีที่ 93 ในเกมนี้... 


        ลูกฟรีคิกของ แลมพาร์ด โค้งมาเสาสองเลี้ยงเข้าหาประตูโดยมี เทอร์รี่ พุ่งเข้าชาร์จแต่เหยียดไม่ถึงทว่า ฮาวเวิร์ด กลับช่วยสงเคราะห์ปัดบอลเข้าประตูไป 


        ต้องให้เครดิตคนโยนคือ แลมพาร์ด ที่เปิดลูกนี้ได้แรงและพุ่งเข้าจุดโฟกัสบวกกับจังหวะชาร์จของ เทอร์รี่ ที่มาแบบดำทะมึนทำให้ ฮาวเวิร์ด ออกอาการผวาจนเสียท่า 


        เป็น 3 คะแนนที่ลำค่ามากสำหรับ เชลซี เพราะถ้าทำได้แค่เสมอจะร่วงจากจ่าฝูงหล่นลงมาอันดับสามผลลัพธ์มันแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง 


        แน่นอนที่สุดถ้าหากจบซีซั่น เชลซี ได้แชมป์หรือชวดแชมป์โดยที่คะแนนเฉือนกันแต้มเดียว มูรินโญ่ และแฟนบอลต้องนึกย้อนถึงเกมนี้... 

วันอังคารที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

แนะนำตัว

สวัสดีคับผมชื่่อนายพงษ์พัฒน์ กองสมัคร ม4ห้อง2ชื่อเล่นชื่อโมเมคับ